ความปลอดภัยในสถานที่ทำงานเป็นสิ่งที่ทุกองค์กรต้องคิดถึงเป็นลำดับแรก เนื่องจากสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยมีผลโดยตรงต่อสุขภาพและความเป็นอยู่ของพนักงาน อีกทั้งยังส่งผลต่อประสิทธิภาพในการทำงาน การป้องกันอุบัติเหตุและการดูแลความปลอดภัยในสถานที่ทำงานจึงเป็นหน้าที่สำคัญที่ไม่สามารถละเลยได้ ดังนั้น การมีระบบการจัดการที่เข้มงวดและมีประสิทธิภาพจึงเป็นสิ่งจำเป็น และนี่คือจุดที่ คปอ. (คณะกรรมการความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน) เข้ามามีบทบาทหน้าที่ในสถานประกอบการ
ทำยังไงถึงได้เป็น คปอ
หลายคนอาจสงสัยว่าต้องทำยังไงถึงจะได้เป็น คปอ ต้องเป็นระดับหัวหน้าตำแหน่งสูงๆเท่านั้นหรือป่าว ต้องบอกเลยว่า คปอ นั้นมาจากการเลือกตั้ง ซึ่งมีทั้งถูกเลือกตั้งจากนายจ้าง และการเลือกตั้ง คปอ จากลูกจ้างทำให้ระดับลูกจ้างเองก็สามารถเข้ามามีส่วนร่วมในการเป็นคณะกรรมการได้ แต่มันไม่ได้จบแค่การเลือกตั้งชนะผลโหวตเท่านั้น !!!
คปอ ที่ถูกเลือกทางองค์กรต้องส่งเข้าอบรมหลักสูตร คปอ ตามศูนย์ฝึกอบรม เพื่อให้ได้ใบวุฒิบัตรที่จะนำไปใช้ยื่นขึ้นทะเบียนต่อกรมสวัสดิการฯ จังหวัด โดยมีอายุการใช้งาน 2 ปี เมื่อคณะกรรมการรุ่นเก่าจะใกล้หมดวาระงาน (2 ปี) นายจ้างต้องทำการเลือกตั้งใหม่และส่งคณะกรรมการรุ่นใหม่เข้าอบรมใหม่อีกครั้ง
แต่ก็มีในบางครั้งที่ คณะกรรมการ คปอ พ้นตำแหน่งก่อนหมดวาระงาน สถานประกอบการสามารถปฏิบัติได้ตามกรณีที่พบเจอ อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่ >> คปอ เมื่อพ้นวาระงาน
ในสถานประกอบการต่างๆ การจัดการด้านความปลอดภัยไม่ได้ขึ้นอยู่กับบุคคลเดียว แต่เป็นหน้าที่ของหลายตำแหน่งที่ร่วมกันดูแล หนึ่งในนั้น คือ เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงานที่แบ่งออกเป็นหลายระดับ ได้แก่ จป.หัวหน้างาน จป.บริหาร จป.เทคนิค จป.เทคนิคขั้นสูง และ จป.วิชาชีพ เจ้าหน้าที่แต่ละระดับมีหน้าที่และความรับผิดชอบที่ต่างกันไปตามกฎหมายที่กำหนด
เพื่อให้การดำเนินงานด้านความปลอดภัยเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ จึงมีการกำหนดขอบเขตการทำงานของคณะกรรมการ หรือบุคลากรที่เกี่ยวข้อง โดยรายละเอียดของหน้าที่และความรับผิดชอบต่างๆ ถูกระบุไว้อย่างชัดเจนใน
กฎกระทรวงเรื่องการจัดให้มีเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน บุคลากร หน่วยงาน หรือคณะบุคคลเพื่อดำเนินการด้านความปลอดภัยในสถานประกอบกิจการ พ.ศ. 2565 ซึ่งกำหนดหน้าที่ของ คปอ. ไว้ 12 ข้อ
หน้าที่หลักของ คปอ ตามกฎหมายใหม่
1. จัดทำนโยบายด้านความปลอดภัย
หน้าที่แรกของ คปอ. คือ การจัดทำนโยบายด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานของสถานประกอบกิจการ ซึ่งนโยบายนี้จะถูกนำเสนอต่อนายจ้าง เพื่อนำไปปฏิบัติอย่างจริงจัง การมีนโยบายที่ชัดเจนและรัดกุมเป็นก้าวแรกที่สำคัญในการสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยในองค์กร
2. จัดทำแนวทางป้องกันอุบัติเหตุ
คปอ. มีหน้าที่ในการจัดทำแนวทางการป้องกันและลดการเกิดอุบัติเหตุ รวมถึงการประสบอันตราย การเจ็บป่วย หรือเหตุเดือดร้อนรำคาญที่อาจเกิดขึ้นจากการทำงานของลูกจ้าง แนวทางเหล่านี้จะถูกนำเสนอต่อนายจ้างเพื่อการพิจารณาและนำไปปฏิบัติอย่างเป็นระบบ การป้องกันอุบัติเหตุล่วงหน้าถือเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยลดความเสี่ยงในการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3. รายงานและเสนอแนะมาตรการแก้ไขสภาพการทำงาน
หน้าที่ต่อมาของ คปอ. คือ การรายงานและเสนอแนะมาตรการหรือแนวทางในการปรับปรุงและแก้ไขสภาพการทำงาน ให้เป็นไปตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยในการทำงาน เป้าหมายคือเพื่อให้แน่ใจว่าสภาพแวดล้อมในการทำงานของลูกจ้าง ผู้รับเหมา และบุคคลภายนอกที่เข้ามาปฏิบัติงานหรือใช้บริการในสถานประกอบกิจการนั้นปลอดภัยตามมาตรฐานที่กำหนด
4. ส่งเสริมกิจกรรมด้านความปลอดภัย
คปอ. ต้องมีบทบาทในการส่งเสริมและสนับสนุนกิจกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยในการทำงาน ซึ่งกิจกรรมเหล่านี้สามารถรวมถึงการจัดอบรม การจัดการแสดงนิทรรศการ หรือการประกวดความคิดสร้างสรรค์ในด้านความปลอดภัย เพื่อสร้างจิตสำนึกและส่งเสริมวัฒนธรรมความปลอดภัยภายในองค์กร
5. พิจารณาคู่มือความปลอดภัย
คปอ. ยังมีหน้าที่พิจารณาคู่มือว่าด้วยความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน เพื่อเสนอความคิดเห็นต่อนายจ้าง การพิจารณาและปรับปรุงคู่มือเหล่านี้ให้เหมาะสมและทันสมัยเป็นสิ่งสำคัญในการรักษามาตรฐานความปลอดภัย
6. สำรวจและรายงานผลการปฏิบัติงาน
คปอ. มีหน้าที่สำรวจการปฏิบัติงานด้านความปลอดภัยในการทำงาน และรายงานผลการสำรวจดังกล่าว รวมถึงสถิติการประสบอันตรายที่เกิดขึ้นในสถานประกอบกิจการ ในการประชุม คปอ. ทุกครั้ง ข้อมูลเหล่านี้จะถูกนำมาใช้ในการประเมินสถานการณ์ความปลอดภัยในองค์กรและวางแผนป้องกันในอนาคต
7. พิจารณาแผนการฝึกอบรม
อีกหนึ่งหน้าที่สำคัญของ คปอ. คือ การพิจารณาโครงการหรือแผนการฝึกอบรมเกี่ยวกับความปลอดภัยในการทำงาน รวมถึงโครงการหรือแผนการอบรมเกี่ยวกับบทบาทหน้าที่ความรับผิดชอบในด้านความปลอดภัยของลูกจ้าง หัวหน้างาน ผู้บริหาร นายจ้าง และบุคลากรทุกระดับ การฝึกอบรมที่มีประสิทธิภาพจะช่วยเพิ่มพูนความรู้และทักษะในการปฏิบัติงานของพนักงานทุกคน
8. จัดวางระบบการรายงานสภาพการทำงานที่ไม่ปลอดภัย
คปอ. มีหน้าที่จัดวางระบบให้ลูกจ้างทุกคนทุกระดับสามารถรายงานสภาพการทำงานที่ไม่ปลอดภัยต่อนายจ้างได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว การเปิดโอกาสให้ลูกจ้างมีส่วนร่วมในการรายงานสภาพที่ไม่ปลอดภัยจะช่วยให้ปัญหาได้รับการแก้ไขอย่างทันท่วงที
9. ติดตามผลการดำเนินงาน
ต้องติดตามผลความคืบหน้าในเรื่องที่เสนอต่อนายจ้าง เพื่อให้มั่นใจว่ามีการปฏิบัติตามและมีการปรับปรุงตามข้อเสนอแนะที่ให้ไว้ การติดตามผลเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้แน่ใจว่าการดำเนินงานต่างๆ ด้านความปลอดภัยได้ผลลัพธ์ตามที่ตั้งเป้าไว้
10. รายงานผลการปฏิบัติงานประจำปี
เมื่อครบหนึ่งปี คปอ. จะต้องรายงานผลการปฏิบัติงานประจำปี รวมถึงระบุปัญหา อุปสรรค และข้อเสนอแนะในการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการ เพื่อนำเสนอต่อนายจ้าง รายงานนี้จะเป็นข้อมูลที่สำคัญในการวางแผนการดำเนินงานในปีถัดไป
11. ประเมินผลการดำเนินงานด้านความปลอดภัย
ขั้นตอนการประเมินผลการดำเนินงานด้านความปลอดภัยของสถานประกอบกิจการ เพื่อพิจารณาว่ามีความปลอดภัยและสอดคล้องกับมาตรฐานที่กฎหมายกำหนดหรือไม่ การประเมินผลอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้การดำเนินงานด้านความปลอดภัยมีประสิทธิภาพมากขึ้น
12. ปฏิบัติงานด้านความปลอดภัยอื่นตามที่นายจ้างมอบหมาย
หน้าที่สุดท้ายของ คปอ. คือการปฏิบัติงานด้านความปลอดภัยอื่นๆ ตามที่นายจ้างมอบหมาย เพื่อให้ครอบคลุมทุกด้านของความปลอดภัยในการทำงาน แม้ว่าหน้าที่เหล่านี้อาจไม่ได้ระบุไว้อย่างชัดเจน แต่การทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดระหว่าง คปอ. และนายจ้างจะช่วยให้การดำเนินงานด้านความปลอดภัยเป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ
บทสรุป
การมี คปอ. เป็นตำแหน่งงานที่เป็นสำหรับองค์กร ในการสร้างและรักษามาตรฐานความปลอดภัยในสถานประกอบกิจการ และ คปอ ที่เข้ามารับหน้าที่ควรปฏิบัติตามหน้าที่ทั้ง 12 ข้อที่กฎหมายกำหนดไว้จะช่วยสร้างสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ปลอดภัย และลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากอุบัติเหตุหรือเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งคนที่จะมาทำงานในตำแหน่ง คปอ ได้ต้องผ่านการอบรม คปอ (เป็นข้อบังคับทางกฎหมาย)
หากคุณสนใจคอร์สอบรม คปอ ราคาพิเศษลด 30% พร้อมเปิดทั้งรูปแบบอินเฮ้าส์ และ บุคคลทั่วไป สามารถอ่านรายละเอียดได้ที่
หลักสูตร : อบรมคปอ ราคาถูก
ติดต่อ : [email protected]